กริช
อึ้งวิฑูรสถิตย์
กลุ่มธุรกิจที่อีกไม่เกิน 3 ปี 5 ปี
ที่เมียนมาจะต้องเป็นแดนสวรรค์ของเขา คือธุรกิจที่ใช้แรงงานเป็นหลัก
หรือตามศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์เราเรียกว่า Labor Incentives Business เพราะผลพวงจากค่าแรงขั้นต่ำที่เรากระโดดแบบไม่ลืมหูลืมตาจากร้อยกว่าบาท
กระโดดขึ้นมา 300 บาททั่วประเทศ ผลที่ตามมามีทั้งทางบวกและทางลบ ทางลบก่อนนะครับ
จะทำให้ความได้เปรียบทางต้นทุนเราหมดไป เพราะค่าแรงเราขึ้นไปเกือบเท่าตัว
ค่าแรงนี้ยังส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นอีกด้วย แม้จะไม่ได้เฟ้อจนเกินเลยขอบเขต
แต่สินค้าในท้องตลาดก็ขายได้ลดจำนวนลง ตามกฎของอุปสงค์และอุปทาน นอกจากนี้
รายได้จากแรงงานคนชั้นล่างขึ้น แต่ก็ตามไม่ทันกับค่าสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น
ประชาชนตาดำๆ ก็รับผลกระทบไป มีแต่คนรวยหรือคนชั้นสูงที่ไม่อินังขังขอบมากนัก
คนที่ได้รับผลกระทบหนักมากจริงๆ คือคนกินเงินเดือน
พนักงานจากเมื่อก่อนนั่งรถเมล์มาทำงานแล้วต่อรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
เขาบ่นกันอุบเลยครับ เพราะค่ารถเมล์ก็ขึ้นราคา ค่ารถวินมอเตอร์ไซค์ก็ขึ้นราคา
ทำให้ต้องใช้เงินค่าเดินทางต่อวันร่วมสี่ห้าสิบบาท จากเดิม 20 กว่าบาท
ช่วงนั้นผมต้องจัดรถไปรับพนักงานหน้าปากซอยทุกวัน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายพนักงาน
และอีกประการหนึ่งคือรายได้ประชาชาติของไทยเราก็ขึ้นมาเช่นกัน
สินค้าขึ้นราคาตามมาครับ
ผลในทางบวกก็มีเหมือนกัน คือส่งผลให้ GDP
ช่วงนั้นขึ้นมาก ราคาค่าบ้านและที่ดินกระโดดขึ้นพรวด
รายได้ของบางกลุ่มบางพวกก็เพิ่มขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็เพิ่มเป็นเงาตามตัว
แน่นอนครับเกิดเศรษฐีใหม่อีกมากมาย
แต่ก็ส่งผลไปยังการแข่งขันด้านสินค้าส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะราคาเราแพงขึ้นนั่นเอง อย่าลืมว่าในโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่ใช่มีแต่ประเทศไทยประเทศเดียว
คู่แข่งเราที่มีอุตสาหกรรมด้านการใช้แรงงานมาผลิตสินค้านั้นมีอยู่เยอะมากโดยเฉพาะประเทศเกิดใหม่ที่ยังมีค่าแรงขั้นต่ำถูกมาก
ที่จริงต้องหันมาดูตัวเราเอง ด้วยการเปลี่ยนจากเดิมมาใช้ระบบอุตสาหกรรมที่ใช้ทุนเป็นหลัก
หรือที่เรียกว่า “Capital Incentives Business” และพยายามหานวัตกรรมใหม่ๆ
เข้ามา แล้วอัพเกรดสินค้าเราให้มีความทันสมัยมากขึ้น
เพื่อจะได้นำเอาเครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงานได้ไงละครับ
ทีนี้มาดูประเทศเมียนมาที่เขาเพิ่งจะเปิดประเทศใหม่ๆ
ค่าแรงเขาถูกกว่าเรามาก ปัจจุบันนี้มีการประกาศใช้ค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่ถึงร้อยบาท
แต่หลายๆ บริษัทยังไม่สนใจที่จะใช้ตามรัฐบาลประกาศ ยังใช้ระบบพระคุณอยู่
คือมีที่พักให้ มีอาหารเลี้ยง ดูแลเหมือนสมาชิกคนในบ้าน รับลูกหลานมาเลี้ยงดู
ให้ลูกหลานตัวเล็กๆ ทำงาน เพื่อจะได้มีรายได้ด้วย เป็นต้น
นี่เหมือนไทยเมื่อห้าหกสิบปีก่อนเลย
ท่านลองคิดดูว่าถ้าเป็นธุรกิจที่ใช้แรงงานสักพันคน เช่น โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า
โรงงานอาหารทะเล โรงงานทอผ้าพื้นเมือง โรงงานเครื่องประดับ โรงงานเฟอร์นิเจอร์
เป็นต้น ค่าแรงต่อคนที่ต่างกัน 200 กว่าบาท พันคนจะต่างกัน 2 แสนกว่าบาท
ปีหนึ่งประหยัดไป 2 ล้านกว่าบาท 10 ปีก็ 20 กว่าล้านบาท
สรุปหนีไปอยู่ที่นั่นแน่นอนครับ ไม่ต้องคิดทำการสำรวจให้เสียเวลาเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น